เทรนสักแบบใหม่

นับวันแฟชั่นในเมืองหลวงก็เดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นเทรนเกี่ยวกับเสื้อผ้า รองเท้า ทรงผม จิปาถะ แต่ ณ ขณะนี้เทรนที่กำลังเป็นที่นิยมของคนเมืองหลวงหรือเรียกอีกอย่างว่าคนเมืองกรุง ก็คือเทรนการสักแบบกากเพชร ซึ่งไม่ใช่การสักแบบเอาเข็มมาจิ้มให้เจ็บตัว อย่างพวกสักรอยต่างๆลงบนผิวหนัง แต่นี่คือการสักแบบเหมือนการเพ้นท์สีลงบนอวัยวะของร่่ายกาย ซึ่งไม่เป็นอันตราย ไม่เจ็บ เรียกว่าเป็นแค่แฟชั่นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งได้รับการตอบรับจากวัยรุ่น ดารา ไปจนถึงคนทำงาน เพราะนอกจากจะไม่เจ็บแล้ว ราคาก็ไม่แพง แถมไม่ได้ติดถาวร สามารถเปลี่ยนได้ตลอด แถมลวดลายก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งสวย เท่ คลาสิค แปลก แล้วแต่จะชอบ ใครอยากลองเทรนสักกาเพชรใหม่ๆนี้ ก็ลองไปหาดูตามร้านรับเพ้นท์ต่างๆ ได้ หากทำออกมาแล้วสวยก็อย่าลืมโพสให้เพื่อนดูกันบ้างนะคะ จะได้ไม่ตกเทรนสำหรับคนเมืองหลวง เมืองที่เต็มไปด้วยแฟชั่นใหม่ๆๆ

ขอบคุณรูปจาก gogle

ปลัดพาณิชย์หญิงคนแรก

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 จะมีปลัดกระทรวงพาณิชย์หญิงคนแรก คือ นางวัชรี วิมุกตายน ซึ่งมาดำรงตำแหน่งแทน นายยรรยง พวงราช ที่เกษียณ์อายุราชการ โดย นางวัชรี วิมุกตายน เดิมเป็น อธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งนางวัชรี ได้กล่าวว่า จะยังคงเน้นนโยบายสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและดูแลคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งจะเปิดรับจำนำวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และรัดกุมมากยิ่งขึ้น รวมถึงดูแลด้านสินค้าอุปโภคบริโภคให้เป็นไปอย่างยุติธรรมต่อประชาชนมากที่สุด ถือเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์หญิงคนแรกในรอบ 92 ปี ของกระทรวงพาณิชย์

ที่มา สำันักข่าวไทย

สิงห์รมควันและนักดื่ม คิดหนัก

จากการที่รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ รวมถึงภาพเอกชน ที่ร่วมกันรณรงค์ให้เยาวชนและคนทั่วไปเลิกสูบบุหรี่และดื่มสุรา มาเป็นเวลานาน ในหลายรุปแบบ แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอวิธีการอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การเพิ่มการจัดเก็บภาษีเหล้า-บุหรี่ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล โดยบุหรี่จัดเก็บภาษีเิพิ่ม จะมีราคาเพิ่ม 6-8 บาทต่อซอง ส่วนสุราผสมจัดเก็บภาษีเพิ่มเป็น 120 บาทต่อลิตร สุราต่างประเทศจัดเก็บภาษีเต็มเพดาน 400 บาทต่อลิตร ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดการสูบบุหรี่และดื่มสุราแล้ว ยังเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้รัฐอีกด้วย ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันนี้ ( 21 สิงหาคม 2555) เหล่านักดื่มและนักสูบคงสะเทือนกันไม่มากก็น้อย แต่บางทีอาจถือเป็นโอกาสดีที่จะค่อยๆเลิกดื่มเลิกสูบกันก็ได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง

ถ้าต้องย้ายที่พักใหม่ ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

การต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆ คงไม่มีใครอยากทำ เพราะต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ต้องปรับตัวใหม่ และอีกมากมายที่เราจะต้องเจอ แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะต้องย้าย ก็คงหลี่กเลี่ยงไม่ได้ ลองมาดูปัจจัยที่ทำให้ต้องย้ายที่อยู่อาศัยกัน ว่ามีอะไรบ้าง

1. หน้าที่การงาน  หากต้องไปทำงานต่างบ้านต่างถิ่น ย้ายงานหรือได้งานที่ดีกว่า แต่อยู่ไกลจากที่เราพัก จึงทำให้ต้องหาที่พักอาศัยให้ใกล้กับที่ทำงาน เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเิดินทาง ยิ่งใครที่ทำงานอยู่ในเมืองหลวง ย่ายธุรกิจหรือใจกลางเมือง คงเจอกับปัญหาการเดินทาง ความวุ่นวาย รีบเร่ง ทุกเวลานาทีต้องบริหารจัดการให้ลงตัว จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้ยินเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักบอกว่า หาอพาร์ทเม้นท์ใหม่ หาที่พักใหม่ เพราะต้องการให้ใกล้กับที่ทำงาน อย่าลืมว่าศักยภาพของเราต้องเต็มร้อยกับการทำงานให้ได้ผลที่ดี ถ้าต้องมาเสียไปกับการเดินทางไกลๆ รถติดนาน กว่าจะถึงที่ทำงานคงหมดแรง อารมณ์เสียหรือเหนื่อยล้าจนทำให้ลดประสิทธิภาพในการทำงานลงได้ ส่งผลต่อการงานในอนาคตอีกด้วย จึงต้องเลือกดูให้ดีๆ

2. ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อีกปัจจัยที่ทำให้คนเราต้องหาทางขยับขยายให้เหมาะกับเงินในกระเป๋า เช่น เคยอยู่อพาร์ทเม้นท์ราคา 4-5 พันบาท พอเศรษฐกิจตกต่ำ ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น ก็คงต้องหาย้ายที่พักใหม่ เพื่อให้เหมาะกับสถาณการณ์ของตัวเอง อาจจะย้ายมาพักอยู่ในแหล่งใหม่ ค่าเช่าถูกกว่า แต่ไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก เพราะ้ถ้าย้ายไปไกลจากที่เราทำงานอยู่ นอกจากจะไม่ช่วยให้ประหยัดแล้ว อาจต้องจ่ายแพงกว่าเดิม เพราะต้่องเสียค่าเดินทางเพิ่มขึ้นอีก

3. สภาพการจราจร สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปทำงานในย่านธุรกิจที่การจราจรคับคั่ง ยิ่งในเวลาเร่งด่วนด้วยแล้ว ต้องเผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าเป็นชั่วโมง แบบนี้คงไม่เป็นผลดีนักต่อสุขภาพกายและใจ นี่คือปัญหาที่แก้ไม่ได้สักที สำหรับคนเมืองหลวง ลองมาคิดเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเราย้ายที่พักอาศัยไปอยู่ใกล้ที่ทำงาน จะช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางและค่าใช้จ่ายได้มากแค่ไหน ได้พักผ่อนมากขึ้นไม่ต้องรีบตื่ยมาเพื่อแย่งกันขึ้นรถ หนีรถติดในช่วงเวลาเร่งด่วน หลายคนใช้วิธีนี้คือ ย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ใหม่ พอหักใหม่ ตื่นได้สายขึ้น กลับเร็วขึ้น เหลือเวลาได้พักผ่อนมากขึ้น ก็คงจะคุ้มดีไม่น้อย

4. สภาพแวดล้อม ปัญหานี้ก็ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของเราไม่น้อยทีเดียว เพราะทุกวันนี้สังคมวุ่นวาย น้ำใจคนดีหายากเสียยิ่งกว่างมเข็ม แล้วหากที่พักอาศัยที่เราอยู่ต้องมาเจอกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัยที่ชีวิตและทรัพย์สิน เราคงไม่เสี่ยงที่จะอยู่ ก็คงต้องมองหาที่พักใหม่ๆ อพาร์ทเม้นท์ที่ปลอดภัย ยิ่งผู้หญิงหรือคนที่ต้องอยู่คนเดียว ก็ยิ่งต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก

นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ผู้เขียนหยิบยกมาบอกกล่าว เพราะชีวิตในเมืองหลวงเต็มไปด้วยสังคมหลายรูปแบบ การแข่งขันสูง ความเสี่ยงก็มาก แต่ใช่ว่าจะหาความสุขไม่ได้เอาเสียเลย อยู่ที่ตัวเรามากกว่าที่จะเลือกอยู่ เลือกใช้ชีวิตให้ลงตัวในแบบของเราอย่างไรให้ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด